Share:
การแจ้งเตือนการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
หลีกเลี่ยงการเดินทางที่ไม่จำเป็น
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นโรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14
ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558
ประกาศ ณ วันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2563
สรุปใจความสำคัญ
ขณะนี้มีการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ไปทุกทวีปทั่วโลก ขอให้ประชาชนและผู้ที่จะเดินทางไปต่างประเทศติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยภาครัฐได้บูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วน ในการคัดกรอง เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคอย่างเข้มข้น ขอให้ประชาชนให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆ เพื่อความปลอดภัยทั้งของตนเองและผู้อื่น รวมทั้งลดผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคม
หลังเดินทางกลับจากเขตติดโรคอันตราย กรณี COVID-19 ผู้เดินทางจะได้รับการกักตัวในพื้นที่ที่รัฐกำหนดเป็นเวลา 14 วัน สำหรับผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่องและพื้นที่ที่ควรหลีกเลี่ยงการเดินทาง ผู้เดินทางต้องกักตัวเองไม่ออกจากบ้านเป็นเวลา 14 วัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่ติดตามใกล้ชิด
ผู้เดินทางมาจากเขตติดโรคอันตรายหรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง หากมีไข้ ร่วมกับอาการทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ เกิดขึ้นภายใน 14 วันหลังกลับจากเดินทาง ควรรีบพบแพทย์ทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทางให้เจ้าหน้าที่ทราบ เขตติดโรคอันตรายและพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง
(ข้อมูล ณ วันที่ 6 มีนาคม 2563 เวลา 12.00 น.)
โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 คือ
เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสกลุ่มโคโรนา ที่ทำให้มีไข้ และอาการระบบทางเดินหายใจ โดยส่วนใหญ่จะมีอาการ ไข้ ไอ เจ็บคอ หายใจหอบเหนื่อย และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
เชื้อสามารถติดต่อจากคนสู่คน ผ่านทางการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย และแพร่กระจายผ่านละอองเสมหะทางการไอจามของผู้ที่มีเชื้อ
สถานการณ์ปัจจุบัน
การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เริ่มต้นที่ประเทศจีน ตั้งแต่ วันที่ 30 ธันวาคม 2562 ต่อมาได้พบผู้ป่วยยืนยันในหลายประเทศทั่วโลก จำนวนผู้ป่วยยืนยันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ฮ่องกง . มาเก๊า , ไต้หวัน , เกาหลีใต้ , สิงคโปร์ และญี่ปุ่น โดยพบผู้ป่วยรายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 1,000 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นวันละประมาณ 100 ราย และพบอัตราการเสียชีวิตจากโรคประมาณร้อยละ 2 ซึ่งร้อยละ 26.4 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจำตัวมีโอกาสเสี่ยงที่จะเสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยผู้ที่เป็นโรคหัวใจมีอัตราการเสียชีวิตมากที่สุด ร้อยละ 10.5 รองลงมาคือ โรคเบาหวาน (ร้อยละ 7.3) และ โรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง (ร้อยละ 6.3) ขณะนี้มีหลักฐานการติดต่อจากคนสู่คน และพบมีการระบาดภายในประเทศ (local transmission) เพิ่มขึ้นหลายพื้นที่ ข้อมูล ณ วันที่ 6 มีนาคม 2563 พบการระบาดในประเทศต่างๆ รวม 86 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ (ฮ่องกง มาเก๊า)
ตารางที่ 1 รายชื่อประเทศที่มีรายงานการระบาดของ COVID – 19
สถานการณ์ภายในประเทศไทย
ข้อมูล ณ วันที่ 6 มีนาคม 2563 พบผู้ป่วยยืนยันสะสมในประเทศไทย จำนวน 47 ราย มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และอาการรุนแรง 1 ราย
กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค ดำเนินการเฝ้าระวังคัดกรอง และป้องกันควบคุมโรค ดังนี้
1) ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศดำเนินการคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้าออกประเทศ ทั้งท่าอากาศยาน ท่าเรือ และพรมแดน รวม 46 แห่ง ประกอบด้วย ท่าอากาศยาน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ , ดอนเมือง , เชียงใหม่ , เชียงราย , ภูเก็ต และ กระบี่ ท่าเรือ 6 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร , แหลมฉบัง , พาณิชย์เชียงแสน , ภูเก็ต , สมุย และกระบี่ และด่านพรมแดนทางบก 34 แห่ง
2) แจ้งให้สถานพยาบาลทำการคัดกรองผู้ป่วยที่มีอาการไข้ ร่วมกับมีอาการระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ และมีประวัติการเดินทางจาก ประเทศจีน , มาเก๊า , ฮ่องกง , ไต้หวัน หรือพื้นที่ที่มีการระบาดต่อเนื่อง ภายใน 14 วัน หรือเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพสัมผัสใกล้ชิดกับนักท่องเที่ยวที่มาจากพื้นที่ที่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่สัมผัสกับผู้ป่วยตามเกณฑ์เฝ้าระวัง
3) การเฝ้าระวังในชุมชน โดยให้ความรู้ประชาชน เมื่อพบนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจากพื้นที่ระบาดของโรค มีอาการไข้ ร่วมกับมีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้แจ้งบุคลากรสาธารณสุขในพื้นที่ หรือ สายด่วนกรมควบคุมโรค DDC Hotline 1422 ความเสี่ยงสำหรับประเทศไทย
เป็นที่ยอมรับกันว่า การคมนาคมที่สะดวกรวดเร็วทำให้คนนิยมเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการเดินทางท่องเที่ยวที่มากขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งของการแพร่กระจายเชื้อ จากพื้นที่หนึ่งสู่พื้นที่หนึ่งได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ปัจจัยด้านเชื้อก่อโรคที่ติดต่อจากคนสู่คนผ่านการหายใจเอาละอองน้ำมูกน้ำลายเข้าสู่ร่างกาย และการสัมผัสใกล้ชิด เป็นวิธีการแพร่เชื้อที่เกิดขึ้นได้ง่ายหากไม่ป้องกัน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดการแพร่เชื้อทั้งจากคนต่างชาติที่เข้ามาและจากคนไทยที่อาจได้รับเชื้อขณะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศแล้วเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย ดังนั้นการปฏิบัติตนในการป้องกันโรคจึงมีความสำคัญมาก เพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อแล้วทำให้เกิดการระบาดภายในประเทศ
ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางอันดับต้นของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยพบว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยมากที่สุดคือนักท่องเที่ยวจีน ในปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศไทย ประมาณ 10 ล้านคน หรือ 3 - 4 หมื่นคนต่อวัน หลังจากที่มีข่าวการระบาดของโรคดังกล่าว ทางการจีนได้สั่งปิดเมืองและจำกัดการเดินทาง พร้อมทั้งห้ามบริษัททัวร์นำเที่ยวไปต่างประเทศ จึงทำให้ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจีน ที่มาประเทศไทยมีจำนวนลดลงมาก ปัจจัยด้านนักท่องเที่ยวไทยนั้นพบว่า คนไทยเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ประมาณ 10 ล้านคนต่อปี ฤดูกาลท่องเที่ยวของคนไทยไปต่างประเทศมีอยู่ 2 ช่วง คือ เดือนมีนาคม ถึง เดือนพฤษภาคม และช่วงเดือนตุลาคม ถึง เดือนธันวาคมของทุกปี จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยวไทย ในปี 2562 ส่วนใหญ่ยังคงเป็นการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น จากรายงานขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น พบว่า ในปีที่ผ่านมานักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่น สูงถึง 1.13 ล้านคน สำหรับช่วงฤดูท่องเที่ยว (High Season) อยู่ระหว่าง เดือนเมษายน ถึง พฤษภาคม ซึ่งดอกซากุระจะบานราวๆ ปลายเดือนมีนาคม ถึงต้นเดือนเมษายน นอกจากนี้พบว่าคนไทยเดินทางไปประเทศจีนเฉลี่ยปีละ 6 แสนคน โดยไปกับบริษัททัวร์ประมาณ 2 แสนคน และท่องเที่ยวด้วยตนเองประมาณ 4 แสนคน ความเสี่ยงสำหรับประเทศไทย
ณ วันที่ 30 มกราคม 2563 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่าการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ แต่ยังไม่มีประกาศจำกัดการเดินทาง ดังนั้น ควรปฏิบัติตามคำแนะนำ ดังนี้
แนะนำประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปประเทศจีน และประเทศที่พบการระบาดของโรค
ระหว่างเดินทางในต่างประเทศขอให้หลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่แออัด หรือมีมลภาวะ และไม่อยู่ใกล้ชิดผู้ป่วยไอจาม สวมใส่หน้ากากอนามัย
หลีกเลี่ยงการไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น
เลือกรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุก ทั้งเนื้อสัตว์ ไข่ และผัก
หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอด้วยน้ำ และสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจลล้างมือ ไม่นำมือมาสัมผัสตา จมูก ปาก โดยไม่จำเป็น
ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น (เช่น ผ้าเช็ดหน้า , แก้วน้ำ , ผ้าเช็ดตัว) เนื่องจากเชื้อก่อโรคทางระบบทางเดินหายใจสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ทางการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ
รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอและนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
หลังเดินทางกลับถึงประเทศไทย ภายใน 14 วัน ถ้ามีอาการไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หายใจเหนื่อยหอบ ให้สวมหน้ากากอนามัย แล้วล้างมือ และรีบไปพบแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทันที พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง เนื่องจากมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนปอดบวม และมีอาการรุนแรง ถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สอบถามได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
จัดทำโดย :
ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน กรณีโรคไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
วันที่อัพเดต :
วีนที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2563 [size]
เอกสารอ้างอิง
1. https://afludiary.blogspot.com/2020/01/who-wpro-statement-on-cluster-of.html?m=1
2. https://china.usembassy-china.org.cn/u-s-citizen-services/security-and-travel-information/
3. https://promedmail.org/
4. https://ddc.moph.go.th/brc/news.php?news=10896&deptcode=brc&news_views=6006
5. http://www.boe.moph.go.th/fact/Pneumonia.htm
6. https://virologydownunder.com/viral-pneumonia-cluster-in-wuhan-central-china-44-cases-and-counting/
7. https://www.who.int/ith/20200901_outbreak_of_Pneumonia_caused_by_a_new_coronavirus_in_C/en/
8. https://mgronline.com/uptodate/detail/9630000011513
9. https://www.businessinsider.com/wuhan-coronavirus-officials-quarantine-entire-city-2020-1 https://www.bltbangkok.com/bangkok-update/4813/
10. https://www.who.int/dg/speeches/detail/emergency-ministerial-meeting-on-covid-19-organized-by-the-african-union-and-the-africa-centres-for-disease-control-and-prevention