แวว มยุรา
นักร้องดังประจำวงคนตรีขวัญใจคนเดิมในอดีต
ซึ่งเข้าใจกันว่าร้องคู่กับ พี่เป้า สายัณห์ สัญญา มากที่สุด แนวเพลงของเธอเป็นแนวเศร้าหวานซึ้ง ฟังแล้วจับใจ
ผมมีโอกาสได้ชมผลงานการแสดงหน้าเวทีของเธอเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นเธอก็ตัดช่องน้อยไปจากวงการบันเทิง และวงการชีวิตแบบไม่มีวันกลับ ...
แอบรักแอบคิดถึง-แวว มยุรา บันทึกการแสดงสด วงดนตรีสายัณห์ สัญญา ปี 2528 part9 |
ประวัติคร่าวๆ ของ แวว มยุรา
ก่อนเข้าวงการ
แวว มยุรา หรือ แวว อาภัสรา เกิดเมื่อ ปี พ.ศ. 2505 ที่บ้านเลขที่ 63 หมู่ที่ 2 อ.ห้วยคต อุทัยธานี ครอบครัวมีอาชีพทำนา มีพี่น้อง 8 คน เธอเป็นคนที่ 4 เธอเข้าสู่วงการลูกทุ่งด้วยการประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก จนในที่สุดประมาณ ปี พ.ศ. 2518 ได้เข้าประกวดร้องเพลงที่จัดโดยสถานีวิทยุ วศป. (ลพบุรี) ที่มี "จันทร์จ๋า" หัวหน้าวงดนตรี{b]วงพรนารายณ์[/b]อันโด่งดังดำเนินงานอยู่ ด้วยเพลง "เสียงครวญจากสวนแตง" ของ น้ำอ้อย พรวิเชียร จันทร์จ๋ามองเห็นความสามารถของเด็กหญิงแวว ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียงแค่ 10 ขวบ จึงได้ชวนมาร่วมวง ในที่สุดเธอก็มาเป็นบุตรบุญธรรมของ พร พรนารายณ์ เจ้าของวงดนตรีพรนารายณ์ และเริ่มต้นอาชีพนักร้องมาตั้งแต่เด็กในชื่อของ แวว อาภัสรา รุ่นไล่เรี่ยกันกับ น้ำอ้อย พรวิเชียร โดยมีผลงานบันทึกเสียงเพลงแรก ชื่อ "แม่ค้าแผงลอย"
ชีวิตการเป็นนักร้อง
ต่อมา เมื่อวงพรนารายณ์ยุบวงไป แวว ที่โตเป็นสาวแล้วก็ได้ย้ายไปอยู่กับ วงสายัณห์ - ครรชิต (สายัณห์ จันทรวิบูลย์ กับ ครรชิต ขวัญประชา) จากนั้นก็มาอยู่กับ วงสายัณห์ สัญญา และที่นี่ได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า แวว มยุรา และมีชื่อเสียงจากการร้องเพลงแก้กับเพลงของสายัณห์ สัญญา และต่อมาก็พบรักกับ สกล อลงกรณ์ 1 ใน 7 ของทีมพลังหนุ่ม ที่มีส่วนสำคัญที่ผลักดันให้วงสายัณห์ สัญญา มีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมาก
ต่อมา สกล อลงกรณ์ ที่ลงทุนทำร้านอาหารได้เกิดขัดแย้งกับหุ้นส่วนจนถูกยิงตาย และเมื่อสายัณห์ สัญญายุบวง ด้วยการสนับสนุนของ อุทัย ศรีสุวรรณ และสายัณห์ สัญญา แวว มยุรา ก็ได้ตั้งวงของตัวเองขึ้นมา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนต้องขายบ้านของตัวเองออกไปเพื่อหาเงินมาใช้หนี้ และหาเลี้ยงชีพตัวเองและญาติพี่น้องโดยการร้องเพลงตามคาเฟ่
บั้นปลายชีวิต
ชะตาชีวิตของเธอต้องพลิกผัน เมื่อ “สกล อลงกรณ์” ผู้เป็นสามี ถูกมือปืนลอบยิงเสียชีวิต ที่ห้องอาหาร แอล.เอ.คาเฟ่ ปากซอยพาณิชยการธนบุรี เมื่อต้น ปี พ.ศ. 2531 เธอคนเดียวไม่อาจแบกภาระได้ จึงต้องล้มเลิกวงดนตรี หลังจากนั้นก็เริ่มประสบปัญหาเรื่องการเงิน จนต้องขายบ้านที่ร่วมกันสร้างไว้กับสามี เพื่อนำเงินมาเป็นค่าใช้จ่าย และมาเช่าห้องเป็นบ้านพักอยู่ที่ "นครหลวงคอนโดมิเนียม" ใกล้ๆ กับสามแยกไฟฉาย และได้นำญาติพี่น้องมาอยู่ด้วยหลายคน โดยเธอเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ต่อมาเธอไปสมัครเป็นนักร้องคาเฟ่ ที่ห้องอาหาร "นภาลัยคาเฟ่" ย่านศูนย์การค้านครหลวง การเงินช่วงนี้ยังพออยู่ได้ แต่มรสุมชีวิตก็ถาโถมเข้าหาเธออย่างหนัก เมื่อ "สายชล เรียงสา" น้องชาย ซึ่งทำงานเป็นพนักงานอยู่ที่ นภาลัยคาเฟ่ ร่วมกับพวกรุมทำร้ายนักศึกษาธุรกิจการบิน ที่พาเพื่อนมาเที่ยวห้องอาหาร ถึงแก่ความตาย ต่อมาตำรวจจับกุมนายสายชลดำเนินคดี และไม่ประกันในชั้นศาล แวว มยุรา พยายามหาเงินมาประกันตัวน้องชายอย่างเต็มที่ แต่ยังขาดอยู่ 2 แสนบาท ไม่สามารถกู้ยืมจากใครได้อีกต่อไป ทำให้เธอกลุ้มหนัก แม้กระทั่งไปขอความช่วยเหลือจากคนที่เธอให้ความนับถือที่สุด ก็ได้รับการปฏิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใย ชีวิตเธอเหมือนหมดที่พึ่ง
กระทั่งเมื่อ วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2532 ก่อนเวลา 09.30 น. เธอตัดสินใจหนีปัญหาชีวิตด้วยการผูกคอตายในห้องน้ำ ที่ห้องเช่าเลขที่ 261/329 แฟลตนครหลวงคอนโดมิเนียม ชั้น 4 เธอเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 27 ปีเท่านั้นเอง แวว มยุรา ได้ออกเทปชุดสุดท้ายก่อนตาย ชื่อชุด "สาวเวียงพิงค์" โดย "อุทัย ศรีสุวรรณ" ที่เฝ้ามองดูความเป็นอยู่ของเธอด้วยความสงสาร จึงอยากช่วยเหลือให้เธอกลับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง ได้ลงทุนทำเพลงชุดนี้ให้ บันทึกเสียงเสร็จเมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2532 แต่หลังจากนั้นไม่ถึง 2 อาทิตย์ เธอก็ปลิดชีวิตตัวเอง
นักร้องที่นำบทเพลงของเธอมาร้องใหม่
ตัวไกลใจเหงา - ฝน ธนสุนทร
แอบรักแอบคิดถึง - ต่าย อรทัย
น้องไม่มีสิทธิ์ - ต่าย อรทัย
น้ำตาชาวนา - จอมขวัญ กัลยา
ขุดดินแช่ง - พุ่มพวง ดวงจันทร์
สามวันเปลี่ยนใจ - สุนารี ราชสีมา
ผลงานการร้องเพลง
ตัวไกลใจเหงา
แอบรักแอบคิดถึง
ห้องนอนคนจน
น้องไม่มีสิทธิ์
แฟนเดิม
จากบ้านนาด้วยรัก
ใครลืมใครก่อน
น้ำตาชาวนา
สัญญาสามข้อ
หมอนใจคนกลางคืน
รักหล่นเมื่อฝนซา